คลังเก็บรายเดือน: กรกฎาคม 2014

• การสกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดินจากข้อมูลดาวเทียมธีออสโดยการจำแนกเชิงวัตถุ

บทคัดย่อ

ในปัจจุบันการค้นคว้าวิจัยรูปแบบการใช้ประโยชน์ข้อมูลจากดาวเทียมธีออส ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ธรรมชาติดวงแรกของประเทศไทยเป็นไปอย่างกว้างขวาง เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการประยุกต์ข้อมูลให้มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ผู้วิจัยจึงได้นำหลักการและวิธีการจำแนกประเภทข้อมูลภาพด้วยวิธีเชิงวัตถุมาใช้ในการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดินด้วยวิธีการจำแนกเชิงวัตถุจากข้อมูลการปรับปรุงความละเอียดด้วยข้อมูลช่วงคลื่นเดียว และข้อมูลหลายช่วงคลื่นของดาวเทียมธีออสในพื้นที่ต้นแบบ 3 รูปแบบ (พื้นที่ชุมชนเมือง พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่ป่าไม้) พร้อมทำการประเมินความถูกต้อง และ (2) เพื่อประเมินความเหมาะสมของการเลือกใช้ประเภทข้อมูลจากดาวเทียมธีออสในการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ต้นแบบ สำหรับวิธีการศึกษาแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอน ประกอบด้วย (1) การคัดเลือกพื้นที่ต้นแบบ (2) การจัดหาข้อมูลและประมวลผลข้อมูลเบื้องต้น (3) การจัดเตรียมข้อมูลพื้นที่ต้นแบบ (4) การจำแนกประเภทข้อมูลเชิงวัตถุ (5) การสำรวจภาคสนามและประเมินความถูกต้องและ (6) การประเมินความเหมาะสมการเลือกใช้ข้อมูล

ผลการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดิน ระดับที่ 2 ในพื้นที่ต้นแบบ 3 รูปแบบ จากข้อมูลการปรับปรุงความละเอียดด้วยข้อมูลช่วงคลื่นเดียว และข้อมูลหลายช่วงคลื่น พบว่า (1) พื้นที่ชุมชนเมือง ประกอบด้วย พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง และสวนสาธารณะและต้นไม้ (2) พื้นที่เกษตรกรรม ประกอบด้วย นาข้าว พืชไร่ และไม้ยืนต้นและไม้ผล (3) พื้นที่ป่าไม้ ประกอบด้วย ป่าผลัดใบที่มีเรือนยอดแน่นทึบ ป่าผลัดใบที่มีเรือนยอดไม่แน่นทึบ และสวนป่า ในขณะเดียวกัน ผลการประเมินความถูกต้องการจำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดิน ระดับที่ 2 จากข้อมูลดาวเทียมธีออสทั้งสองประเภทในพื้นที่ต้นแบบ พบว่า ในพื้นที่ชุมชนเมือง ความถูกต้องโดยรวมและสัมประสิทธิ์แคปปาสำหรับข้อมูลการปรับปรุงความละเอียดด้วยข้อมูลช่วงคลื่นเดียว และข้อมูลหลายช่วงคลื่น มีค่าเท่ากับร้อยละ 71.43 และ 57.78 และร้อยละ 66.67 และ 50.79 ตามลำดับ ในพื้นที่เกษตรกรรม มีค่าเท่ากับร้อยละ 66.87 และ 48.59 และร้อยละ 72.39 และ 53.96 ตามลำดับ และในพื้นที่ป่าไม้ มีค่าเท่ากับร้อยละ 91.82 และ 80.98 และร้อยละ 88.99 และ 74.96 ตามลำดับ

ในการประเมินความเหมาะสมของการเลือกใช้ข้อมูลดาวเทียมธีออสสำหรับใช้ในการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดิน พบว่า ในพื้นที่ชุมชนเมือง หากพิจารณาเฉพาะค่าความถูกต้องโดยรวมและสัมประสิทธิ์แคปปา ข้อมูลการปรับปรุงความละเอียดด้วยข้อมูลช่วงคลื่นเดียวมีความเหมาะสมมากกว่าข้อมูลหลายช่วงคลื่น แต่หากนำราคาข้อมูลภาพและการทดสอบความแตกต่างกันของค่าสัมประสิทธิ์แคปปาโดยการทดสอบค่า Z มาพิจารณาร่วมด้วย พบว่า ข้อมูลหลายช่วงคลื่นมีความเหมาะสมมากกว่าข้อมูลปรับปรุงความละเอียดด้วยข้อมูลช่วงคลื่นเดียว ในขณะเดียวกัน ในพื้นที่เกษตรกรรม เมื่อพิจารณาความถูกต้องโดยรวม ค่าสัมประสิทธิ์แคปปา ราคาข้อมูล และการทดสอบความแตกต่างกันของค่าสัมประสิทธิ์แคปปาโดยการทดสอบค่า Z พบว่า ข้อมูลหลายช่วงคลื่นมีความเหมาะสมมากกว่าข้อมูลการปรับปรุงความละเอียดด้วยข้อมูลช่วงคลื่นเดียว สำหรับในพื้นที่ป่าไม้ พบว่า หากพิจารณาเฉพาะค่าความถูกต้องโดยรวมและสัมประสิทธิ์แคปปา ข้อมูลการปรับปรุงความละเอียดด้วยข้อมูลช่วงคลื่นเดียวมีความเหมาะสมมากกว่าข้อมูลหลายช่วงคลื่น แต่หากนำราคาข้อมูลภาพและการทดสอบความแตกต่างกันของค่าสัมประสิทธิ์  แคปปาโดยการทดสอบค่า Z มาพิจารณาร่วมด้วย พบว่า ข้อมูลหลายช่วงคลื่นมีความเหมาะสมมากกว่าข้อมูลปรับปรุงความละเอียดด้วยข้อมูลช่วงคลื่นเดียว

จากผลการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า วิธีการจำแนกเชิงวัตถุ (Object-oriented classification) สามารถนำมาใช้จำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดินในพื้นที่ต้นแบบ 3 รูปแบบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำข้อมูลหลายช่วงคลื่นของดาวเทียมธีออสมาใช้จำแนกประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดินในพื้นที่ป่าไม้จะให้ค่าความถูกต้องโดยรวมและค่าสัมประสิทธิ์แคปปาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับพื้นที่ต้นแบบประเภทอื่น

คำสำคัญ : การจำแนกเชิงวัตถุ, การใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดิน, ข้อมูลธีออส

ms-ur-2  ms-ag-2  ms-fo-2
pan-ur-2  pan-ag-2  pan-fo-2

ทบทอง ชั้นเจริญ และสุวิทย์ อ๋องสมหวัง. (2557). การสกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปกคลุมดินจากข้อมูลดาวเทียมธีออสโดยการจำแนกเชิงวัตถุ. วารสารสมาคมสำรวจข้อมูลระยะไกลและระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย, 15 (1), 32-41. (PDF)

• การสร้างบทเรียนช่วยสอนบนอินเตอร์เน็ต รายวิชา โปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน เรื่อง การใช้โปรแกรมตารางงานขั้นพื้นฐานและขั้นสูง สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์  เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนอินเตอร์เน็ต (WBI)  วิชาโปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน และเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากที่เรียนด้วย  WBI  วิชาโปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ บทเรียน  WBI วิชาโปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน  ที่พัฒนาขึ้นซึ่งประกอบไปด้วยตัวบทเรียน  แบบทดสอบก่อนเรียน  แบบทดสอบหลังเรียน  และแบบทดสอบประเมินผลหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี  มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาโปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน  จำนวน  24  คน  โดยการเลือกแบบเจาะจง  วิธีดำเนินการวิจัย เริ่มจากให้กลุ่มตัวอย่างทดลองใช้บทเรียน  WBI  โดยมีการทำแบบทดสอบก่อนเรียน  แบบทดสอบหลังเรียนและแบบทดสอบประมวลผลหลังเรียนจากนั้นนำคะแนนที่ได้จากการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อมูลตามหลักสถิติ

ผลการวิจัยพบว่า  WBI  วิชาโปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน  ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ  74.07/84.07  ซึ่งอยู่ในเกณฑ์  80/80  ที่ตั้งไว้  เมื่อนำคะแนนเฉลี่ยการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบด้วยการทดสอบที  (t-test)  พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังเรียนด้วยบทเรียน  WBI วิชาโปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน  สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ  .05  แสดงให้เห็นว่า WBI วิชาโปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน  ที่สร้างขึ้นสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอน  สำหรับนักศึกษานักศึกษาระดับปริญญาตรี  ตามหลักสูตรมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีได้

คำสำคัญ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนอินเตอร์เน็ต, โปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน

wbi-1  wbi-2  wbi-3
wbi-4  wbi-5  wbi-6

ทบทอง ชั้นเจริญ. (2550). การสร้างบทเรียนช่วยสอนบนอินเทอร์เน็ต รายวิชาโปรแกรมสำเร็จรูปและการประยุกต์ใช้งาน เรื่องการใช้โปรแกรมตารางงานพื้นฐานและขั้นสูง สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี. คณะวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี. (PDF) (Brochure) (Poster) (E-learning)